"ตลาดค้ายากำลังเจริญรุ่งเรือง" ในขณะที่คณะกรรมาธิการด้านยาเสพติดอ่อนแรง
8 เมษายน 2561
เขียนโดย แอน ฟอร์ดแฮม ผู้อำนวยการองค์กร
"ตลาดค้ายากำลังเจริญรุ่งเรือง" เป็นหนึ่งในข้อความสำคัญใน รายงานยาเสพติดโลก ของ UNODC ในปี 2560 นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ได้มีการยอมรับสถานการณ์จากองค์การยาเสพติดขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งปัจจุบันมีระยะเวลาไม่ถึงเก้าเดือนก็จะเข้าปีพ. ศ. 2562 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลสมาชิกได้กำหนดให้เป็นปีที่ต้อง "ลดหรือกำจัด" ตลาดยาทั่วโลกภายในสิบปีให้ได้โดยมีนัยสำคัญอย่างมาก เมื่อเดือนที่แล้วคณะกรรมาธิการด้านยาเสพติด (CND) ประจำกรุงเวียนนาได้พบกับความล้มเหลวอันยิ่งใหญ่เนื่องจากไร้ความคืบหน้าใด ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าเป้าหมาย 'ปลอดยาเสพติด' นี้ได้เป็นฉากหลังในการเจรจารอบสุดท้ายในเวทีการควบคุมยาเสพติดทั่วโลก
ความกดดันต่อระบบการควบคุมยาเสพติดของสหประชาชาติยังคงดำเนินต่อไปนี้ UNGASS ในปี 2559 ในการประชุม CND เมื่อปีที่แล้ว เป็นที่ชัดเจนว่ากระบวนทัศน์ใหม่เกิดขึ้นโดยเน้น สิทธิมนุษยชนและงานด้านสาธารณสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืนกลายเป็นศูนย์กลางในการอภิปราย อย่างไรก็ตามการพัฒนานี้ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของประเทศสมาชิกทั้งหมดและการประชุมล่าสุดของ CND นี้ถือเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดและน่าอับอายมาจนถึงปัจจุบัน มติเอกฉันท์เรื่องแนวการจัดการกับยาเสพติดที่มีมาก่อนหน้านี้มีความชัดเจนมาก จนไม่สามารถ"แยกออกจากตะเข็บ" ได้และเป็นความทรงความจำที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถือเป็นสัปดาห์ที่มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆเกิดขึ้น พัฒนาการที่มีนัยสำคัญ ห้าข้อ ที่เต็มไปด้วยเสียงและบรรยากาศของการอภิปรายนโยบายยาเสพติดในเวทีสหประชาชาติ มีดังต่อไปนี้
1. จะปลอด [ยาเสพติด] หรือไม่ปลอด [ยาเสพติด]?
การเจรจาตึงเครียดมากที่สุดและยากลำบากได้มีขึ้นเพื่อเตรียมการและขั้นตอนสำหรับ "ประชุมระดับรัฐมนตรี" ในระดับสูงซึ่งกำหนดไว้ในเดือนมีนาคมปี 2562 ส่วน "ประชุมระดับรัฐมนตรี" คือช่วงเวลาที่รัฐสมาชิกจำเป็นต้องสรุปในข้อตกลงในปัจจุบันที่มีเป้าหมาย 10 ปี ว่า"จะปลอดยาเสพติดหรือไม่ ประกาศทางการเมืองและแผนปฏิบัติการ ปี 2552 จะสิ้นสุดลงในปี 2562 โดยรัฐสมาชิกโดยทั่วไปแบ่งเป็นสองฝั่ง ว่าจะเดินไปเส้นไหนในปี 2562 ทั้งนี้มีผู้ที่ต้องการขยาย และยืนยันเป้าหมายเดิมในปี 2552 และผู้ที่ไม่ต้องการใช้ประกาศเจตนารมย์ทางการเมืองปี2552 นั้น แต่เสนอให้นำนโยบายยาเสพติดของสหประชาชาติในเอกสาร UNGASS Outcome Document ใช้เป็นแนวทาง การต่อสู้ครั้งนี้ระหว่างข้อตกลงปี 2552 กับเอกสาร UNGASS ได้มีสัญญาณครุกรุ่นเป็นเวลาหลายเดือนจนถึงจุดวิกฤติในระหว่างการเจรจาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคืบหน้าของเอกสาร UNGASS ในเรื่องของสิทธิมนุษยชนเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงการต่อต้านวิธีการของรัฐบาลสมาชิกที่ได้ตอบสนองต่อการปราบปรามการควบคุมยาเสพติดมากขึ้น
การเจรจาเกี่ยวกับพิธีการสำหรับปี 2019 ได้เริ่มต้นที่กรุงเวียนนาหนึ่งเดือนก่อนการประชุม CND และดำเนินต่อเนื่องไปตลอดสัปดาห์ พร้อมกับการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการแบบปิดที่ต่างไม่มีข้อตกลงใดๆเกิดขึ้น แม้ว่าจะมีการพูดคุยยาวนานถึง ตี สามของอีกวันก็ตาม ในวันสุดท้ายประธาน CNDชาวเม็กซิกันจึงได้รวบ 'พิธีการอย่างย่อ' ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตอนท้ายของการประชุม อย่างไรก็ตามแม้กระทั่งหลังจากที่ได้มีการตกลงรับพิธีการอย่างย่อ แต่กลุ่มประเทศที่นำโดยรัสเซียได้แถลงการณ์แสดงความไม่พอใจต่อกระบวนการนี้และดูเหมือนจะปฏิเสธร่างสุดท้ายที่เพิ่งได้รับการรับรองเป็นเอกฉันท์ เมื่อไม่สามารถมีการตกลงอย่างเป็นเอกฉันท์ จึงเป็นเหตุให้มีการอภิปรายภาคต่อไป ในกรุงเวียนนา ในท้ายที่สุดก็ไม่มีความกระตือรือล้นที่จะร่างกระบวนการทบทวนหรือประเมินผลที่เหมาะสมว่าความคืบหน้าไปสู่เป้าหมาย 2562 นั้นได้บรรลุผลหรือไม่ อย่างไรนะจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ในที่สุดจากกระบวนการทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความเฉื่อยฉาที่เป็นภัยของ CND
2. "โดยไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน" - รายงานของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศสำหรับ 2017 2018 เป็นวันครบรอบ 70 ปีของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและในปีนี้มิติด้านสิทธิมนุษยชนของนโยบายยาเสพติดยังคงได้รับความนิยมอย่างมากในกรุงเวียนนาและที่อื่น ๆ Antonio Guterres เลขาธิการสหประชาชาติ ได้กล่าวเปิดพิธีจากข้อความวิดีโอและกล่าวรับรอง เอกสาร UNGASS และเรียกร้องให้รัฐสามาชิกมาสนใจในการปกป้องสิทธิมนุษยชน:
"ด้วยมติเอกฉันท์ของสภานิติบัญญัติแห่งสหประชาชาติว่าด้วยแผนงาน เราสามารถส่งเสริมความพยายามที่จะหยุดการก่ออาชญากรรมที่มีอยู่ได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องสิทธิมนุษยชนทำให้การพัฒนาและการดูแลรักษาโดยใช้การสนับสนุนด้านสิทธิ"
เลขาธิการสหประชาชาติ António Guterres กล่าวในที่ประชุม CND Plenary ภาพโดย Harm Reduction Coalition
การปรากฏตัวของสำนักงานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (CCHE) ที่ CND ถือเป็นประวัติการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยตัวแทนได้แถลงการณ์สามฉบับในระหว่างการประชุม สัปดาห์ก่อนหน้าการประชุม ได้มีการพูดคุยถึงความกังวลด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลกของโดยได้เรียกร้องให้รัฐสมาชิก "ตรวจสอบประสิทธิภาพและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนของแนวทางการจัดการสถานการณ์ " สงครามยาเสพติด "" หนึ่งสัปดาห์หลังจาก CND เมื่อวันที่ 23 มีนาคม สภาสิทธิมนุษยชนได้ลงมติเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ยืนยันว่าสิทธิมนุษยชนต้องมีบทบาทสำคัญในนโยบายด้านยาเสพติดทั่วโลก การแก้ปัญหานี้กำหนดให้ OHCHR จัดทำรายงานเพื่อทบทวนการดำเนินการตามเอกสาร UNGASS Exceed Document เกี่ยวกับบทบัญญัติด้านสิทธิมนุษยชนตาม รายงานก่อน เอกสาร UNGASS ปี 2558
คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศได้ยืนยันถึงความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนในการควบคุมยาเสพติด สิ่งนี้ได้ถูกเน้นในคำนำของรายงานล่าสุดในแถลงการณ์ระหว่าง CND สิทธิมนุษยชนตอนนี้เป็นศูนย์กลางของกรรมที่ CND คือการพัฒนาที่สำคัญและน่ายินดีแม้ในความเป็นจริงบนพื้นฐานของการบังคับใช้การกำจัดการบังคับใช้และการควบคุมตัวสำหรับผู้ที่ใช้ยาเสพติด การวิสามัญฆาตรกรรม และการใช้โทษประหารชีวิต (และอื่นๆอีก) แสดงให้เห็นว่ามีการรณรงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากก่อนที่จะมีการเริ่มเปลี่ยนแปลงแนววาทะกรรมดังกล่าว ความท้าทายในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนการประชุม CND คือ การที่ประธานาธิบดีทรัมพ์ ย้ำถึงการเรียกร้องให้มีการใช้โทษประหารชีวิตสำหรับผู้ขายยา เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการ การเสียชีวิตของประชาชนเนื่องจากการใช้ยาเกินขนาดของสหรัฐฯ ในขณะที่สิงคโปร์เห็นด้วยกับแนวทางนี้ สิงคโปร์ได้ดำเนินการประหารชีวิตที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด โดยภูมิใจประกาศถึงนโยบาย "หัวปลอดโปร่ง" (แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะปฏิเสธข้อเสนอนี้)
3. ปฎิเสธเรื่องการถูกตีตรา
แคนาดาและอุรุกวัยมีมติให้ "ลบการถูกตีตรา" เนื่องจากเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการสำหรับผู้ใช้ยา นี่เป็นสิ่งที่กล้าหาญในการเริ่มเปิดประเด็นในการประชุม CND ซึ่งรัฐบาลบางแห่งมองว่าการตีตรา เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันยาเสพติด อย่างไรก็ตาม หลังจากการเจรจาและถกเถียงกันที่ยาวนาน (จนถึงรุ่งเช้าอีกวัน) การลงมติเห็นด้วยแม้ว่าชื่อเรื่องจะเปลี่ยนจาก 'ลบการถูกตีตรา' ไปเป็น 'การส่งเสริมทัศนคติและเลิกการตีตรา' ซึ่งจะเห็นว่ามีการปรับน้ำเสียงของภาษาที่ใช้ ข้อตกลงที่มี อาจถูกต่อต้านอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองและอุดมการณ์กับการริเริ่มการควบคุมกัญชาที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศผู้สนับสนุนร่วมเดิม แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าที่สำคัญที่เกิดขึ้นในกรุงเวียนนา การ"แสวงหาความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ยา" ในการพัฒนานโยบายและโครงการถูกเก็บไว้และเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันการมีส่วนร่วมที่มีความหมายของผู้ใช้ยาเสพติด นอกจากนี้ ความก้าวหน้าอื่น ๆ ที่ได้รับการอนุมัติ ได้แก่ การป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีและโรคตับอักเสบจากแม่สู่ลูกสำหรับสตรีที่ใช้ยาและเพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกกลุ่มเปราะบางในสังคม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีมติเรื่องการลดอันตราย เนื่องยากยังคงเป็นบทสนทนาที่ยากที่จะทำได้ที่ CND แต่เยอรมนียื่นเอกสารให้แก่ที่ประชุมเกี่ยวกับ "ความสำคัญของการลดอันตรายสำหรับผู้ที่ใช้ยาแบบสารกระตุ้น" เพื่อสนับสนุนการขยายแนวคิดและได้รับการยอมรับจาก CND ในประเด็นของการฉีดยาเสพติดและการป้องกันเอชไอวี
4. ภาคประชาสังคม – แข็งแกร่งขึ้น มีภาพลักษณ์ที่สำคัญมองเห็นได้และน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
ผู้เข้าร่วมการประชุมปฐมนิเทศ IDPC ภาพกลุ่ม ภาพโดย Steve Rolles
ในปีนี้ ถือว่าความพยายามอันยาวนานในการปรับปรุงการมีส่วนร่วมและการมองเห็นของประชาสังคมใน CND เริ่มดีขึ้น ความตึงเครียดโดยปกติระหว่างรัฐสมาชิกและภาคประชาสังคมดูเหมือนจะลดลงมากและเกือบแทบไม่มีเลย และความสัมพันธ์ก็เป็นไปในเชิงพหุนิยมมากกว่าในปีก่อน ๆ ผู้แทนภาคประชาสังคมหลายคนสามารถพบปะกับผู้แทนภาครัฐและแบ่งปันมุมมองและมุมมองเกี่ยวกับมติและการอภิปราย ชัยชนะที่สำคัญ คือการที่ มีการจัดตั้งคณะทำการภาคประชาสังคม ในสารพิธีข้อตกลง เพื่อให้สร้างความมั่นใจในการนำไปสู่การประชุมระดับรัฐมนตรี ปี 2562 แต่อย่างไร องค์กรภาคประชาสังคมยังต้องมีการจัดซุ้มให้ความรู้ และอีกหลายประเด็นที่ท้าทายซึ่งยังไม่สามารถพูดถึงได้อย่างเต็มที่ในการอภิปรายหลัก เช่น การบังคับใช้กฎหมาย การลดอันตราย การปกป้องสิทธิมนุษยชน และ การทำสงครามยาเสพติดที่รุนแรงในฟิลิปปินส์ ที่สำคัญ ภาคประชาสังคมถือเป็นตัวแทนเสียงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบไปสู่กรุงเวียนนา เพื่อให้เห็นว่านโยบายยาเสพติดมีผลกระทบโดยตรงอย่างไร มุมมองเหล่านี้คือการตรวจสอบความเป็นจริงที่สำคัญต่อการสนับสนุนการปฏิรูปของภาคประชาสังคมที่อุทิศตนและยืนหยัดเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการอภิปรายนโยบายยาของสหประชาชาติตามเอกสาร UNGASS Exceed Document และการเปลี่ยนน้ำเสียงของการอภิปรายในภายหลัง
5. ปัญหาที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ...
CND ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการมีส่วนร่วมได้อย่างแท้จริงและการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักฐาน การพัฒนาที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการควบคุมกัญชา ความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับห้องฉีดยาลดอันตรายการเสียชีวิตจากยาเกินขนาดหรือวิสามัญฆาตรกรรมที่ทำในนามของการควบคุมยาเสพติดแทบจะ
ไม่มีกล่าวถึงในการอภิปรายอย่างเป็นทางการ แต่อย่างใด
คณะกรรมการกลุ่มอภิปรายเรื่อง "การควบคุมกัญชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ" ภาพโดย Tom Blickman, TNI
ประเด็นที่เกี่ยวกับกัญชานั้น ประเทศแคนาดาได้แจ้งแผนที่จะควบคุมตลาดค้ากัญชาในปลายปีนี้โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าหลังจากศตวรรษของนโยบายการควบคุมยาเสพติด ก็ยังไม่ได้การปกป้องคนหนุ่มสาวได้อย่างเป็นผล หลายประเทศสมาชิกอื่นๆยังคงแสดงความไม่เห็นด้วยต่อนโยบายนี้ (รวมถึงต่อต้านนโยบายการลดทอนควาเป็นอาชญากรของผู้ใช้ยา) นอกจากการพูดคุยอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีการจัดซุ้มความรู้อื่นๆที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น อย่างเช่น ซุ้มความรู้ที่จัดโดย ประเทษโคลัมเบีย เรื่อง "การบังคับใช้กฎหมายและการตลาดสำหรับกัญชา โคคาและฝิ่น" โดยแบ่งการปรเด็นในการเสนอเรื่องการควบคุมโคคา โคเคน หนึ่งวันและในวันสุดท้ายมีการนำเสนอ เรื่องประเด็นความความตึงเครียดในสนธิสัญญาตามกฎหมายของสหประชาชาติกับข้อบังคับเกี่ยวกับกัญชาและข้อเสนอสำหรับหนทางออกร่วมกัน นอกจากนี้ประเทศอุรุกวัยได้จัดบรรยายสรุปเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายด้านยาเสพติดของภาคประชาสัมคม และร่างกฎหมายกัญชาของประเทศตน และยังมีการจัดแสดงซุ้่มให้ความรู้บรรยายเรื่องอันตรายที่เกิดจากการกฎหมายบังคับใช้ อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดบทสนทนาหลักของงานประชุมนี้ยังคงต้องมีการพูดคุย และนำความรู้ที่ได้มีการนำเสนอเพื่อนำไปใช้อย่างจริงจังต่อไป
วิกฤติการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมากจากการใชยาเกินขนาดที่ทวีป อเมริกาเหนือนั้นเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและได้รับการเน้นย้ำประเด็นนี้โดยประเทศแคนาดาและประเทศสหรัฐอเมริกาในแถลงการณ์ของประเทศ แต่ละประเทศก็มีรับมือกับสถานการณ์นี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง ประเทศสหรัฐอเมริกาเน้นการบังคับใช้กฎหมายและเรียกร้องให้มีการร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้นในการป้องกันการผลิตที่ผิดกฏหมายและการลักลอบค้าสาร fentanyl (ซึ่งเป็นจุดเน้นของการแก้ปัญหาของพวกเขาซึ่งในตอนแรกไม่ได้กล่าวถึงการป้องกันยาเกินขนาด โดยมีการรวมประเด็นนี้เข้ามาในรอบระหว่างการเจรจา) ในขณะเดียวกัน ประเทศแคนาดา ได้พูดถึงการเปิดศูนย์ลดอันตรายทั่วประเทศเพื่อป้องกันอัตราการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด ซึ่งถือเป็นวิธีการรับมือที่ตอบสนองอย่างจริงจังต่อปัญหาที่นานาประเทศอื่นกำลังประสบอยู่ การประชุม CND ยังขาดการให้ความสำคัญกับวิกฤตในการใช้ยาเกินขนาดอยู่ และมีความจำเป็นอย่งยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายที่ล้มเหลว และต้องมุ่งเน้นที่การลดอันตรายจากการใช้ยาฯอย่งแท้จริง และนี่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในกรุงเวียนนา ซึ่งจะทำให้ความพยายามที่จะหาฉันทามติเกี่ยวกับนโยบายยาเสพติดกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งท้าทายมากขึ้น
สมัครสมาชิก แจ้งข่าว IDPC ทุกเดือน เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายยาเสพติด
กรุณาดูด้านล่างสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเป็นภาษาอังกฤษ
“The drug market is thriving” is one of the key messages in UNODC’s 2017 World Drug Report. This is an important admission from the UN’s lead agency for drugs given that it is now less than nine months away from 2019 – the current target date by which governments committed to “significantly reduce or eliminate” the global drug market within ten years. At last month’s annual gathering of the Commission on Narcotic Drugs (CND) in Vienna, the abysmal failure to be able to claim any progress whatsoever towards these so-called ‘drug-free’ targets was the backdrop to the latest round of tense negotiations on global drug control.
Pressure on the UN drug control system continues to build following the UNGASS in 2016. At last year’s CND meeting, it was clear that a new paradigm was emerging with human rights, public health and sustainable development becoming centrally embedded in the debates. However, this development is not to the liking of all member states and this latest CND meeting was arguably the most contentious and fractious to date. The so-called consensus on drugs so clearly “ripped apart at the seams” is now a distant and rapidly fading memory. It was an eventful week and here are five significant developments that encapsulate the tone and mood of the UN drug policy debate.
1. To be [drug-free] or not to be [drug-free]?
The most tense and difficult negotiations revolved around the ‘modalities resolution’ for the preparations and procedure for the high-level “ministerial segment” scheduled for March 2019. The “ministerial segment” is the moment when member states would essentially need to agree the way forward as the current agreement containing the 10-year “drug-free” targets, the 2009 Political Declaration and Action Plan, ends in 2019. Member states generally fall into two camps on the way forward beyond 2019 – there are those that want to extend and reaffirm the 2009 targets, and those that absolutely do not and instead want to base the next phase of UN drug policy on the UNGASS Outcome Document. This battle between the 2009 agreement and the UNGASS outcome document has been brewing for many months and reached crisis point during these negotiations. In particular, the UNGASS Outcome Document’s progress on human rights is proving to be an anathema to governments firmly wedded to more repressive drug control responses.
The negotiations on the 2019 modalities started in Vienna a month before the CND meeting and went on throughout the CND week in closed informal sessions without any agreement being found, despite one session going on until 3am and new drafts being produced daily. On the last day, the exasperated Mexican CND Chair finally put a drastically shortened version of the ‘modalities resolution’ on the table which was adopted right at the end of meeting. However, even after adoption, a group of countries led by Russia, gave a statement expressing their displeasure with the process and seemingly rejecting the final draft that had only just been unanimously adopted. The inability to agree what should be a simple procedural resolution brings into sharp relief the emergent and growing dissensus in Vienna. Finally, there was no appetite to outline a proper review or evaluation process on whether progress towards the 2019 targets has been achieved – but this is likely because the answer is obvious but once again illustrates the detrimental inertia of the CND.
2. “Without due consideration of human rights, there are devastating consequences” – Report of the International Narcotics Control Board for 2017
2018 marks the 70th anniversary of the Universal Declaration of Human Rights and this year the human rights dimension of drug policies continued to gain prominence in Vienna and elsewhere. Antonio Guterres, the UN Secretary General, opened the session in a video address and in very few words both endorsed the UNGASS Outcome Document and drew attention to protecting human rights:
“With the UN General Assembly Special Session consensus as our blueprint, we can promote efforts to stop organized crime while protecting human rights, enabling development, and ensuring rights-based treatment and support.”
The presence and visibility of the Office of the High Commissioner for Human Rights (OHCHR) at the CND was unprecedented, with their representative delivering three statements during the plenary. The previous week in his global update of human rights concerns, the High Commissioner for Human Rights had urged member states “to examine the effectiveness and human rights impact of their current approaches to the so-called “War on Drugs””. A week after the CND, on March 23rd, the Human Rights Council agreed a second resolution that reaffirms that human rights must play a central role in global drug policies. This resolution mandates OHCHR to produce a report that reviews the implementation of the UNGASS Outcome Document with respect to human rights provisions, as a follow up to their pre-UNGASS 2015 report.
The International Narcotics Control Board was the firmest it has ever been on ensuring human rights in drug control. This was highlighted in the foreword of their latest report as well as in their statements during the CND session. That human rights is now central to the rhetoric at the CND is an important and welcome development, although the realities on the ground from forced eradication, forced treatment and detention for people who use drugs, extrajudicial killings and the use of the death penalty (to name a few) illustrate that there’s much work to do before rhetoric translates into real change. As a stark reminder of this challenge, the weekend before the CND meeting, President Trump reiterated his call for imposing the death penalty for drug dealers as a response to the US overdose crisis while congratulating Singapore for their approach. Singapore for their part, carried out two drug-related executions either side of the CND week and proudly declared their “clear-headed” policy to be working (although experts have strongly refuted this).
3. Saying No to Stigma
Canada and Uruguay tabled a resolution on ‘removing stigma’ given that it presents a barrier to accessing services for people who use drugs. This was a brave move in the CND setting where some governments unfortunately view stigma as positive and necessary as a drug prevention measure. However, after lengthy and contentious negotiations (also going on until midnight on the penultimate day), the resolution was agreed although the title was changed from ‘removing stigma’ to ‘promoting non-stigmatising attitudes’ and some of the initial language was watered down. The resolution may also have faced strong resistance due to political and ideological opposition to the cannabis regulation initiatives taking place in both the original co-sponsor countries. Despite some watering down, this resolution represents critical progress in Vienna and would have been unthinkable only a few years before. The request “to seek opinions and contributions from drug users” in developing policies and programmes was retained in the text and is a crucial step forward in the push for the meaningful and genuine involvement of people who use drugs. Other progressive resolutions adopted include one on the prevention of mother-to-child transmission of HIV and hepatitis for women who use drugs and one on addressing the needs of vulnerable members of society. Unfortunately none of these resolutions explicitly mention harm reduction as this is still hard to do at the CND, however Germany did submit a conference room paper on the “importance of harm reduction for people who use stimulant drugs” to support broadening out the concept which until now has been only accepted at the CND in relation to injecting drug use and HIV prevention.
4. Civil society – stronger, visible and ever more credible
This year it truly felt that the long-standing efforts to improve civil society engagement and visibility at the CND were starting to pay off. The usual tensions between member states and civil society appeared to have worn down to an imperceptible level and the relationship was more symbiotic than in previous years. Many civil society representatives were able to meet with their government delegations and share views and perspectives on resolutions and the debates. In a major win, the adopted version of the modalities resolution made specific mention of the Civil Society Task Force which has been revived to ensure strong engagement in the lead up to the 2019 ministerial segment. Civil society organisations were also responsible for numerous side events on many challenging issues that still cannot be properly discussed in the main debate such as legal regulation, harm reduction, human rights defenders and the devastating drug war in the Philippines. Crucially, civil society groups continue to bring the voices of the most affected communities to Vienna to give their own personal accounts of how drug policies have affected them directly. These perspectives are an important reality check in what is often a detached and abstract discussion. Dedicated and insistent civil society advocacy for reform has positively impacted the UN drug policy discussion as demonstrated by the UNGASS Outcome Document and the subsequent shift in the tone of the debate.
5. The growing elephants in the room….
The CND continues to be hampered by an inability to genuinely engage with reality and evidence-based, effective responses. The developments happening in the real world, whether its cannabis regulation efforts, the urgent need for drug consumption rooms to reduce overdose deaths or extra-judicial killings committed in name of drug control are barely mentioned in the formal debate.
On cannabis, Canada once again stated its plan to regulate the market later this year noting that after a century of drug control it remains widely available and that prohibition has not served to protect young people. Several other member states expressed their opposition to regulation (as well as towards decriminalisation). Outside of the formal setting, there were a number of side events on regulation including a prominent one from Colombia on “legal uses and markets for cannabis, coca and opium poppy”, one on regulating coca and cocaine and one on the final day exploring the legal UN treaty tensions of cannabis regulation and proposals for a way forward. In addition, Uruguay held a briefing for NGOs on their national drug policy developments and outlined their cannabis regulation model. There were also side events to highlight the harms and dangers of legal regulation but for now a genuine and honest discussion has yet to materialise in the main discussion.
The overdose crisis in North America was also of key concern and strongly highlighted by Canada and the US in their country statements, but their respective responses were very different. The US focused on law enforcement and called for more international cooperation on preventing illicit production and trafficking of fentanyl (also the focus of their resolution which initially did not mention overdose prevention – this was included during negotiations), while Canada talked of rolling out drug consumption rooms to prevent overdoses across the country. Similar to many of the other critical real world developments, the CND has yet to engage meaningfully with the overdose crisis and to move comprehensively beyond failed law enforcement rhetoric towards a genuine focus on reducing harm. This continues to be at the very heart of the ongoing tensions in Vienna, which will make attempts to find consensus on drug policy ever more challenging.